HOW TO เช็กมาตรฐานวัสดุตกแต่งบ้านที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้
- Decco develop
- 25 เม.ย.
- ยาว 1 นาที

การเลือก วัสดุตกแต่งบ้าน ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องใส่ใจเรื่อง “มาตรฐาน” และ “คุณภาพ” ของวัสดุด้วย เพื่อให้บ้านมีความปลอดภัย มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และลดปัญหาการซ่อมแซมในอนาคต บทความนี้จะนำเสนอหลักเกณฑ์พื้นฐานที่ควรรู้ในการตรวจสอบวัสดุตกแต่งก่อนเลือกใช้จริง
การตรวจสอบมาตรฐานวัสดุตกแต่งบ้าน

การตรวจสอบมาตรฐานของวัสดุตกแต่งบ้านเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้มั่นใจว่าวัสดุนั้นมีคุณภาพ ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่
ตัวอย่างวัสดุและสิ่งที่ควรตรวจสอบ
ตรวจสอบมาตรฐานอุตสาหกรรมหรือมาตรฐานสากล วัสดุที่ผลิตในประเทศควรมีเครื่องหมาย มอก.ส่วนวัสดุนำเข้าควรผ่านมาตรฐานสากล เช่น ISO, ASTM, หรือ EN ซึ่งช่วยยืนยันคุณภาพ ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือของวัสดุที่นำมาใช้งาน
ตรวจสอบฉลากสินค้า ให้มีข้อมูลครบถ้วน เช่น รุ่นสินค้า ประเภทวัสดุ ผู้ผลิต ประเทศต้นทาง วิธีใช้งาน และรหัสผลิตภัณฑ์ ส่วนบรรจุภัณฑ์ควรอยู่ในสภาพดี ไม่มีความเสียหายที่อาจเกิดจากการขนส่งหรือการเก็บรักษาที่ไม่เหมาะสม
ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งจำหน่ายหรือผู้เชี่ยวชาญ ควรเลือกร้านที่ให้ข้อมูลทางเทคนิคชัดเจนและมีเอกสารรับรองมาตรฐาน สำหรับวัสดุเฉพาะทาง เช่น ฉนวนหรือแผ่นกันเสียง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือวิศวกรโดยตรง
เปรียบเทียบวัสดุจากหลายยี่ห้อ โดยสังเกตน้ำหนัก สี ความแน่น และกลิ่น ขอตัวอย่างวัสดุ (sample) เพื่อลองทดสอบการทนน้ำ ความแข็งแรง และความสะดวกในการติดตั้ง
การศึกษาคุณสมบัติทางเทคนิคของวัสดุตกแต่งบ้าน

การศึกษาคุณสมบัติทางเทคนิคของวัสดุเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเลือกวัสดุมีประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของแต่ละพื้นที่ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการบำรุงรักษาในระยะยาว
การเลือกคุณสมบัติของวัสดุตกแต่งบ้าน
วัสดุควรทนความชื้นและน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงเปียก เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว พื้นไม้ควรดูดซึมน้ำต่ำหรือใช้วัสดุกันน้ำ เช่น SPC, กระเบื้อง ผนังและฝ้าเลือกยิปซั่มกันชื้นหรือไฟเบอร์ซีเมนต์ สีภายนอกควรกันน้ำและไม่หลุดลอก
วัสดุภายนอกควรทนแดดและรังสี UV สีทาภายนอกต้องไม่ซีดหรือเสื่อมสภาพเร็ว พื้นภายนอกไม่ควรบิดงอหรือแตกร้าว และฟิล์มหรือกระจกควรมีค่า UV Protection สูง
วัสดุควรแข็งแรงและทนแรงกระแทก พื้นที่ใช้งานหนัก เช่น โถงหรือพื้นบ้านกระเบื้องควรมีค่า Mohs 5–6 พื้นไม้ใช้ AC3 ขึ้นไป ผนังควรใช้วัสดุรับแรงได้ เช่น SPC หรือไวนิลแกนแข็ง
พื้นในพื้นที่เปียกควรกันลื่น เช่น ห้องน้ำหรือระเบียง โดยเลือกวัสดุที่มีค่า Anti-slip (R9–R13) และพื้นผิวมีความฝืดหรือลวดลายลดการลื่น
เลือกวัสดุที่ดูแลรักษาง่าย ไม่อมฝุ่น ไม่ดูดคราบ เช่น ผิวเคลือบนาโน สีที่เช็ดล้างได้ ผนังหรือเฟอร์นิเจอร์ควรทำความสะอาดง่ายและไม่ขึ้นรา
การกันเสียงและความร้อน บ้านที่ต้องการความเงียบหรือกันร้อนควรใช้วัสดุดูดซับเสียง เช่น ยิปซัมกันเสียง แผ่นอะคูสติก ฝ้าบุฉนวน หรือกระจกสองชั้นเพื่อลดเสียงและความร้อนจากภายนอก
วัสดุควรเหมาะกับแต่ละพื้นที่ เช่น ห้องน้ำต้องกันน้ำ กันลื่น ไม่ลามไฟ ห้องนอนควรใช้วัสดุปลอดสาร VOC ห้องครัวควรใช้พื้นทนร้อน น้ำมัน และคราบสกปรก
การเลือกวัสดุตกแต่งบ้านที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

การเลือกใช้วัสดุตกแต่งไม่ควรคำนึงแค่เรื่องความสวยงามหรือราคาถูกเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยของวัสดุ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ตัวอย่างความสำคัญกับความปลอดภัยของวัสดุตกแต่งบ้าน
หลีกเลี่ยงวัสดุที่ปล่อยสารเคมีอันตราย เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ในไม้ MDF, VOCs ในสีหรือกาว และสารตะกั่วหรือปรอทในของตกแต่งที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือโรคเรื้อรัง
เลือกวัสดุที่มีการรับรองความปลอดภัย เช่น E0/E1 สำหรับไม้ปล่อยฟอร์มาลดีไฮด์ต่ำ, Green Label หรือฉลากเขียวเพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมาตรฐาน Low/Zero VOCs, GREENGUARD หรือ EC1 สำหรับคุณภาพอากาศภายในอาคารGREENGUARD / EC1: ฉลากมาตรฐานระดับสากลด้านอากาศภายในอาคาร
วัสดุทางเลือกเพื่อสุขภาพ เช่น สีสูตรน้ำปลอด VOCs ไม่มีกลิ่นฉุน, MDF เกรด E0/E1 สำหรับเฟอร์นิเจอร์ ฉนวนใยแก้วหุ้มฟอยล์ไม่คัน ลดฝุ่น และพื้นไวนิล/SPC ปลอดฟอร์มาลดีไฮด์ เหมาะสำหรับผู้แพ้ง่าย
ก่อนซื้อควรอ่านฉลาก ตรวจสอบส่วนผสมและสารเคมี ขอใบรับรองจากผู้ผลิต และหลีกเลี่ยงสินค้าที่ไม่มีรายละเอียดหรือไม่ระบุแหล่งผลิต
สังเกตอาการผิดปกติหลังติดตั้ง หากหลังติดตั้งวัสดุมีอาการแสบตา จมูก เวียนหัว หรือกลิ่นฉุนไม่หายภายใน 1–2 สัปดาห์ ควรหยุดใช้งานและติดต่อผู้จำหน่ายทันที
ระบายอากาศให้เพียงพอ แม้ใช้วัสดุปลอดภัย ควรเปิดหน้าต่าง พัดลม หรือใช้เครื่องฟอกอากาศหลังติดตั้งใหม่ เพื่อลดสารระเหยตกค้าง
การรับประกันและความคุ้มค่าการใช้งานวัสดุตกแต่งบ้าน

การเลือกวัสดุตกแต่งบ้านควรคำนึงถึงการรับประกันจากผู้ผลิตที่ชัดเจน ให้มั่นใจในคุณภาพลดความเสี่ยงหากเกิดปัญหาและพิจารณาความคุ้มค่าถึงอายุการใช้งาน การดูแลรักษา และค่าใช้จ่ายในระยะยาว
การรับประกันวัสดุตกแต่งบ้าน
ระยะเวลารับประกัน วัสดุคุณภาพมักมีการรับประกันตั้งแต่ 1 ปีไปจนถึง 15 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุ เช่น พื้นไม้ลามิเนต กระเบื้อง หรืองานผนังสำเร็จรูป
ขอบเขตการรับประกัน ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าการรับประกันครอบคลุมปัญหาอะไร เช่น สีซีด รอยแตกร้าว การลอก หรือความเสียหายที่เกิดจากคุณภาพวัสดุ
ข้อยกเว้นในการรับประกัน บางกรณีการใช้งานผิดวิธี เช่น ติดตั้งในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ทำตามคำแนะนำของผู้ผลิต อาจทำให้ประกันเป็นโมฆะ
ความคุ้มค่าในการใช้งานวัสดุตกแต่งบ้าน
ความทนทานและอายุการใช้งานวั สดุที่ราคาสูงอาจมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า เช่น ไม้จริงหรือหินธรรมชาติ ใช้ได้นานหลายสิบปีถ้าดูแลอย่างเหมาะสม
การดูแลรักษา เลือกวัสดุที่ดูแลรักษาง่าย เช่น กระเบื้อง หรือพื้นไวนิล จะช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาว แม้ต้นทุนเริ่มต้นอาจสูงกว่าวัสดุราคาถูก
ความเหมาะสมกับการใช้งานแต่ละพื้นที่ เช่น ห้องน้ำควรใช้วัสดุกันน้ำได้ พื้นชั้นล่างควรใช้วัสดุที่ทนต่อแรงกดและรอยขีดข่วน ไม่ควรเลือกตามความสวยอย่างเดียว
ความคุ้มค่าระยะยาว พิจารณาเปรียบเทียบราคากับอายุการใช้งาน เช่น วัสดุราคาถูกที่ต้องเปลี่ยนทุก 2-3 ปี อาจไม่คุ้มเท่าวัสดุราคาแพงที่อยู่ได้ 10 ปี
สรุป
การเลือกวัสดุตกแต่งบ้านอย่างมีความรู้ช่วยให้บ้านสวย ปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว ควรพิจารณาทั้งมาตรฐาน คุณสมบัติทางเทคนิค ความปลอดภัย และความคุ้มค่า การศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพและคุ้มค่า
คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะยกระดับบ้านของคุณด้วยการออกแบบอย่างชาญฉลาด? [ทีมผู้เชี่ยวชาญของ conwenient] พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยคุณสร้างพื้นที่บ้านที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน และส่งผลต่อความพึงพอใจในระยะยาว
สนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในพูลวิลล่า อ่านบทความของเราเกี่ยวกับ
[เคล็ดลับเลือกสีห้องภายในบ้านให้ตรงกับฟังก์ชันและการใช้งาน] และ [แชร์เคล็ดลับการจัดไฟในบ้านให้เข้ากับแต่ละห้อง] เพื่อข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม
Commentaires